เส้นทางต่อไปจากโครงการฯ
ถนนเปลี่ยนจากคอนกรีตเป็นดินธรรมดาแล้วครับ ครั้งที่แล้วไม่ได้ไป
ครั้งนี้ก็เปลี่ยนใจไม่ไปอีกเพราะถนนไม่ดี แต่จากการสอบถามคนสวนได้ความว่าไปเรื่อยๆจะเป็นเขตชายแดนไทย-พม่า
มีทหารประจำการอยู่
ขากลับเจอห่านหรือหงส์กำลังจะลงเล่นน้ำ
มีทั้งสีดำและสีขาว การเดินเข้าไปถ่ายรูปค่อนข้างจะต้องระวังและอย่าทำเสียงดัง
เนื่องจากมันจะตกใจและรีบลงน้ำหนีไปทางอื่นได้
ส่วนเจ้าตัวนี้ลงว่ายน้ำอยู่ตัวเดียว ปากก็พยายามค้นหาอาหารจากสัตว์น้ำเล็กๆที่อาศัยอยู่ในน้ำบริเวณรอบๆ
ต้นไม้ต้นนี้สูงมากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่โดนไฟไหม้จนสีดำช่วงโคนลำต้น
ใบไม้ก็ไม่มีเหลือแม้แต่ใบเดียว
เรากลับมาบ้านลุงปาละช่วงเที่ยง เก็บสัมภาระที่เหลือภายในบ้านพักเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับตัวเมือง
ภายในบ้านไม้หลังนี้ใครจะคิดว่า เมื่อเข้าไปแล้วมีความอบอุ่นเพียงพอยามอากาศหนาวในตอนกลางคืน
หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ก่อนจะลาเจ้าของบ้านลุงปาละกับลูกและญาติๆ
เราไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน้าบ้านลุงเพื่อเป็นการยืนยันการมาเยือนที่นี่ในครั้งที่สอง
ขี่มอเตอร์ไซด์ลงมาจากดอยเพื่อไปคืนรถที่ตัวเมือง
เราใช้เวลาเท่าๆกับตอนขามา แต่มีเหตุการณ์หวาดเสียวเล็กน้อยตรงที่ช่วงลงเขาช่วงหนึ่งผมเปลี่ยนเกียร์จาก
2 ไป 1 ด้วยเห็นว่ารถเริ่มเคลื่อนตัวเร็วแล้ว ทำให้รถกระตุกเบี่ยงไปอีกเลนเกือบเสยกับรถตู้ที่ขับขึ้นมาพอดี
โชคดีพระยังคุ้มครอง เบี่ยงกลับมาได้ทัน
หลังจากคืนรถและจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเนื่องจากเกิน 24 ชม.เราก็เดินต่อไปยังสนามบินแม่ฮ่องสอน
อีก 15 นาที บ่าย 4 โมงก็ถึงยังสนามบิน
ข้างๆสนามบินจะมีวัดอยู่วัดหนึ่งแต่จำชื่อวัดไม่ได้แล้ว
มีเจดีย์รูปทรงคล้ายๆกับเจดีย์ที่วัดจองคำ
มาถึงก่อน 1.30 ชม. ได้เวลา check-in แล้ว
นั่งรอเครื่องเกือบ 1 ชม.ที่ Gate 1
สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่สนามบินก็ประกาศขึ้นเครื่อง
ถึงเวลาที่จะต้องลาเมืองสามหมอกแล้วนะ
ผมได้นั่งที่นั่งด้านหลังของตัวเครื่องบิน
อีกเช่นเคย ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวต่างประเทศ
17:30 น. ก็ได้เวลาลาเมืองสามหมอก
จังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างแท้จริงแล้ว เราเก็บไว้เพียงภาพถ่ายในตัวกล้องและความทรงจำในสมองที่จะไม่ลืมความสงบสุขและเรียบง่ายอย่างแท้จริงในสถานที่ที่ได้ชื่อว่าสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
ซึ่งก็คือปางอุ๋งนั่นเอง ครั้งนี้ไม่ใช้ครั้งสุดท้ายมีเวลาหยุดยาวๆเราจะกลับมาอีก
ก่อนที่อะไรๆจะกลายเป็นธุรกิจไปหมด
|